ทฤษฎี 3 เวลา

Last updated: 11 ก.ค. 2563  |  2526 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ทฤษฎี 3 เวลา

ทฤษฎี 3 เวลาคืออะไร

     จะพูดถึงเวลาที่เข้ามาในชีวิตเราตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันและต่อไปถึงอนาคต (ที่ไม่รู้จะอยู่ถึงแค่ไหน) ทำไมเราต้องหันมาใช้ทฤษฎีนี้ ก็เพราะว่า ณ ปัจจุบันที่เราดำเนินชีวิตไม่ว่าจะทำอะไร ส่วนสำคัญที่เราทำวันนี้เป็นผลมาจากอดีตที่ผ่านมาทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะทำสำเร็จ หรือผิดพลาด ล้วนทำให้เรามีปัจจุบัน เพราะมนุษย์เราเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติมาตั้งแต่เกิดแล้ว ตั้งแต่เรารู้ว่าการเดินคือการทำให้เราไปหาสิ่งที่ต้องการได้เร็วกว่าการคลาน และเมื่อเดินได้จึงรู้เพิ่มเติมไปอีกว่าการวิ่งยอมเร็วกว่าแต่ก็แลกกับความเหนื่อยที่เพิ่มขึ้น นั่นเอง ทำไมเราถึงต้องหันมาดูให้มากขึ้นในด้านธุรกิจ อดีตคือบทเรียนสำคัญที่แสดงถึงความมั่นคงในปัจจุบันหรือล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นด้านกระแสเงินสด กำไรหรือขาดทุน ความมั่งคั่ง การเพิ่มหรือลด ขนาดของธุรกิจ ดังนั้นหากเรายังไม่เคยได้พิจารณาจากอดีตมาก่อน วันนี้เราก็มาลองพิจารณากันดูบ้าง เพราะเราจะได้เริ่มต้นค้นหาว่าปัจจุบันเราเป็นอย่างไร เพราะเรามีอดีตให้เรียนรู้ เพื่อให้อนาคตเปลี่ยนไปตามที่คาดหวัง ได้หรือไม่

          หากเราคำนึงว่าปัจจุบันเราเป็นอย่างไรมานั้น อดีตคือสิ่งที่บอกได้ดีที่สุด ดังนั้นอนาคตเราต้องการสิ่งใดเราก็ทำปัจจุบันให้ชัดเจนแต่อย่าลืมว่าต้องวางอนาคตให้ดีให้ทำได้เพราะสิ่งที่จะเป็นได้นั้นคือการลงมือทำ เช่น เรามีลูกค้าในปัจจุบันเท่าไหร่ เพราะอดีตเราทำให้มีลูกค้าในปัจจุบันเท่านั้นด้วยวิธีการใดๆ หากวิธีการนั้นดีพอทำให้มีฐานลูกค้ามากพอ เราก็นำมาใช้ต่อสำหรับอนาคต และควรคำนึงถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงว่ามีการแข่งขันเพิ่มเติมหรือเปล่า อนาคตจะได้ปรับตัวแก้ไข อย่าลืมว่าอดีตคือปัจจุบัน ดังนั้นปัจจุบันก็คืออนาคต สัดส่วนในการทำธุรกิจที่สำคัญไม่ว่าจะใช้สูตรไหนก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ทำลงไป ในบางกรณีความสำเร็จก็ทำให้เราตกหลุมความสำเร็จได้ง่ายๆ เพราะเชื่อว่าจะสำเร็จต่อไปได้อีก ในปัจจุบันการแข่งขันมีมากขึ้น อุปสรรคมีมากกว่าเดิมมาก ความสำเร็จต่างๆที่เคยผ่านมาหากขาดซึ่งหลักการในการดูแลอย่างต่อเนื่องก็อาจจะผิดพลาดหรือไม่เป็นไปตามที่ต้องการได้ เช่น หากเรากำหนดสัดส่วนการดูแลฐานลูกค้าโดยใช้สูตรของพาเรโต้ 20:80 จะช่วยให้เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนว่าลูกค้าเราในอดีตนั้นวันนี้เค้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในปัจจุบัน เค้ายังเป็น 20% ที่มีค่าที่สุดของเราหรือไม่ หรือเค้าตกไปอยู่ใน 80% ที่เราไม่เคยคิดว่าเค้าจะมาอยู่ในสัดส่วนนี้ของเรา หรือ การจัดกลุ่ม ลูกค้าเป็น A B C เพื่อใช้ในการบริหารลูกค้าให้สามารถดูแลลูกค้าได้เหมาะสมกับขนาดและการสร้างรายได้ของลูกค้าต่อเราได้ดียิ่งขึ้น ลูกค้า A คือลูกค้าคนสำคัญ มีผลต่อยอดขายในปัจจุบันและอนาคต หรือรวมไปถึงมีผลต่อกำไรของบริษัทฯ ลูกค้า B คือลูกค้าคนสำคัญ มีผลต่อการเคลื่อนไหวของสินค้าหรือบริการเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีจำนวนมากแต่ยอดอาจจะไม่สูงมาก มีผลต่อการสั่งสินค้าเข้ามาคงคลังให้เพื่อวางแผนต่างๆ ลูกค้า C คือลูกค้าคนสำคัญ มีผลต่ออนาคตและเป็นลูกค้าที่สามารถพยุงการเคลื่อนไหวของการขายและบริการได้ไปจนถึงการที่จะขยายไปเป็นลูกค้า กลุ่ม B ได้ในอนาคตนั่นเอง ทำให้อดีตของลูกค้าที่อยู่ร่วมกับเราแสดงผลในปัจจุบันและอนาคตอย่างชัดเจน หากเราทำธุรกิจโดยใช้หลักการนี้ จะมีโอกาสได้มีเวลาพักการทำตลาดได้บ้างเพราะตลาดได้รับการดูแลโดยเราอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด หากการแข่งขันคือการที่ต้องดิ้นรนทุกๆปีมากเกินไป กิจการก็เหมือนมนุษย์ ที่เมื่อถึงเวลานึง ก็จะไม่สามารถไปต่อได้ดวยไม่สามารถทำงานให้เหมือนเดิมได้อีกเพราะล้าเกินไป และความสำเร็จต่างๆต้องสร้างใหม่ทุกวันมากเกินไป ดังนั้นลูกค้าของเราจึงอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญกับเราทั้งสิ้น เพราะการดูแลลูกค้าที่สำคัญคือความสม่ำเสมอ และเข้าใจธุรกิจของลูกค้าของเราด้วย เพื่อให้เรารู้สถานการณ์ของลูกค้าตลอดเวลา ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน เพราะจะทำให้อนาคตเรามีความกังวลน้อยลงนั้นเอง และเมื่อเป็นเช่นนั้นความผิดพลาดก็อาจจะหมดไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเพราะเราปรับตัวที่จะเรียนรู้กับอดีตที่ผ่านมา อย่าลืมว่าอดีตมีเรื่องที่สอนเรามากว่าอนาคตมาก อย่าละทิ้งอดีต และจงทำปัจจุบันให้ดีกว่าอดีตเพื่ออนาคตที่คาดหวังไว้นั่นเอง อดีตหรืออีกนัย เรามักจะเรียกว่า "ประสบการณ์" ของเรา ประสบการณ์ที่ดีในการใช้ชีวิตคือ "การได้ลงมือทำสิ่งนั้น" 

นิพนธ์ ศรแก้ว

บริษัท ล๊อกแมท อินทิเกรชั่น  จำกัด

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้